6 กลุ่มอาหารที่ “วัยทอง” ต้องบอกลา
คุณรู้หรือไม่ว่ามีอาหารบางอย่างที่ควรหลีกเลี่ยงในวัยหมดประจำเดือน หรือวัยทอง? ขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้หรือไม่ รู้แล้วก็เป็นเรื่องน่ายินดี แต่ถ้ายังไม่รู้ ก็ถือเป็นข่าวดีอยู่ดี มาเริ่มกันที่ข่าวดี กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณจำกัดหรือตัดอาหารเหล่านี้ออกจากอาหารของคุณ รายการอาหารทั้ง 6 ข้อด้านล่างนี้ ไม่ได้จัดว่าเป็น “อาหารต้องห้าม” แต่ละอย่างล้วนรับประทานได้ในปริมาณที่พอเหมาะ ทว่า มันง่ายมากที่จะ “เผลอ” ทานเพลินจนมากเกินไป
ตอนนี้คุณอาจจะกำลังกังวลว่าเราจะบอกให้คุณเลิกกินของโปรดไปเลยทั้งหมด หรืออย่างน้อยก็ต้องลดปริมาณลงอย่างมาก ใช่แล้ว มันยาก เราเข้าใจ ดังนั้นเราจะมาดูกันว่าวิธีที่ดีที่สุดในการตัดหรือจำกัดอาหารเหล่านี้ออกจากชีวิตประจำวันคืออะไร และเราจะแทนที่ด้วยอะไร จำไว้ว่า สิ่งเหล่านี้อาจช่วยลดความรุนแรงและ/หรือความถี่ของอาการวัยทอง แถมยังเป็นการกำจัดของไร้สาระออกจากเมนูอาหาร เพิ่มปริมาณอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งเป็นเหมือนพลังงานชั้นดีที่ร่างกายต้องการ เพื่อให้แข็งแรง มั่นคง พร้อมรับมือกับทุกสิ่งที่กำลังจะมา
6 กลุ่มอาหารที่วัยทองควรเลี่ยง
1. คาเฟอีน
แม้คาเฟอีนจะไม่ใช่สารอันตรายร้ายแรง แต่ก็ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ ความจริงแล้ว คาเฟอีนมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง โดยทั่วไปแล้ว คนส่วนใหญ่สามารถดื่มกาแฟได้ประมาณ 1 แก้วต่อวันโดยไม่มีผลข้างเคียง น่าเสียดายที่คนอเมริกันมักดื่มคาเฟอีนเกินกว่าปริมาณที่แนะนำ
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ชุมนุมกันรอบเครื่องชงกาแฟในห้องพัก ร้านสตาร์บัคส์ที่แทรกตัวอยู่ทั่วทุกหัวมุมเมืองใหญ่ หรือเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม แม้แต่คอมบูชา ก็ล้วนมีคาเฟอีนทั้งสิ้น แม้แต่ของว่างอย่างไอศกรีมรสกาแฟหรือพุดดิ้ง ก็อาจมีคาเฟอีนแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน แม้แต่ยาแก้ปวดบางชนิด ก็อาจมีส่วนผสมของคาเฟอีน ซึ่งมีข้อดีตรงที่ช่วยให้ยาออกฤทธิ์เร็ว แต่ข้อเสียคือ อาจส่งผลต่ออาการร้อนวูบวาบและเหงื่อกลางคืนในวัยทอง เหตุผลก็เพราะ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การบริโภคคาเฟอีน อาจกระตุ้นอาการวูบวาบร้อน หรือเหงื่อกลางคืนในวัยทอง ซึ่งเกิดจากการหดหรือขยายตัวของหลอดเลือด
2.แอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์มีบทบาทสำคัญในสังคมของเรา เราใช้แชมเปญจ์เพื่อฉลองปีใหม่ สังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานและเพื่อนฝูงยามดื่มหลังเลิกงาน บางคนอาจดื่มไวน์เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาด้วยเช่นกัน การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่แม้จะดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ แอลกอฮอล์ก็ยังส่งผลต่ออาการวัยทองได้ อาทิ อาการปวดหัว ร้อนวูบวาบ เหงื่อกลางคืน และอารมณ์แปรปรวน ยิ่งไปกว่านั้น การดื่มหนักยังอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้อีกด้วย
สาเหตุที่แอลกอฮอล์ส่งผลต่ออาการวัยทองนั้น ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด แต่มีอยู่ 2 ทฤษฎี ทฤษฎีแรกคือ แอลกอฮอล์ไปส่งผลต่อฮอร์โมนที่กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่แล้วในวัยทอง และทฤษฎีที่สองคือ แอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว
3. อาหารแปรรูป
มันฝรั่งทอด โดนัท พิซซ่าแช่แข็ง อาหารแสนอร่อยเหล่านี้ มีอะไรที่เหมือนกัน? คำตอบคือมันล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาหารแปรรูป ซึ่งอาหารดิบจากธรรมชาติ ที่ผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น การล้าง การทำความสะอาด การสี การหั่น การสับ การให้ความร้อน การพาสเจอร์ไรส์ การลวก การปรุงอาหาร การบรรจุกระป๋อง การแช่แข็ง การอบแห้ง การทำให้แห้งสนิท การผสม การบรรจุภัณฑ์ หรือกระบวนการอื่นๆ ที่เปลี่ยนอาหารจากสภาพธรรมชาติส่วนใหญ่มักมีน้ำตาลและโซเดียมในปริมาณที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งส่งผลให้อาการอักเสบ ท้องอืด น้ำหนักตัวเพิ่ม และอ่อนเพลีย ทวีความรุนแรงมากขึ้น
4. อาหารที่มีน้ำตาลสูง
น้ำตาลแปรรูป (น้ำตาลที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติในอาหาร เช่น น้ำตาลในผลไม้ แต่เป็นน้ำตาลที่เติมลงในอาหารและเครื่องดื่ม) ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออก และสมองมัว ที่รุนแรงและถี่ขึ้น ด้วยกลยุทธ์ของอุตสาหกรรมน้ำตาล ที่ใช้ชื่อเรียกน้ำตาลมากกว่า 60 ชื่อบนฉลากสินค้า ทำให้การติดตามปริมาณน้ำตาลที่เรารับประทานเข้าไป กลายเป็นเรื่องยาก
5.อาหารรสเผ็ด
ข้อนี้คงเดาได้ไม่ยาก โดยปกติแล้วอาหารที่มีรสเผ็ดจัด มักทำให้เกิดอาการเหงื่อออก หน้าแดง และอาการคล้ายกับอาการร้อนวูบวาบ ดังนั้นสำหรับผู้หญิงวัยทองที่กำลังเผชิญกับอาการร้อนวูบวาบและเหงื่อกลางคืนอยู่แล้ว การลดหรือเลี่ยงอาหารเผ็ดจัด โดยเฉพาะพริกแคโรไลน่า น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ลองเปลี่ยนมาใช้เครื่องเทศที่เพิ่มรสชาติโดยไม่ต้องเผ็ดร้อน เช่น ยี่หร่า ขมิ้นชัน แกงกะหรี่ และโหระพา แทนจะดีกว่า
6.เนื้อสัตว์ไขมันสูง
ทุกคนทราบดีว่าเนื้อสัตว์ไขมันสูง มีไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพในหลายด้าน รวมถึงการเพิ่มน้ำหนัก แต่คุณรู้หรือไม่ว่าไขมันอิ่มตัวในเนื้อสัตว์ยังอาจส่งผลต่อระดับความโกรธได้เช่นกัน โดยระดับเซโรโทนินที่ลดลงในผู้หญิงวัยทอง อาจนำไปสู่การควบคุมอารมณ์ที่ไม่ดี (อารมณ์โกรธ หงุดหงิด โกรธแค้น) ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย
ดังนั้นแทนที่จะเลือกสเต็กแทรกไขมัน หรือเบคอนหนาๆ ลองเปลี่ยนมาทานเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น ไก่งวง ไก่ หรือแม้แต่เนื้อบด แต่ต้องเลือกชนิดที่ไขมันต่ำอย่างน้อย 90% ขึ้นไป